|
กำเนิดพระโพธิสัตว์
คำว่า โพธิสัตว์ หมายถึงสัตว์ผู้ทรงปัญญาหรือมีคุณธรรมสูง เมื่อพ้นชาตินี้ไปแล้วก็จะไปกำเนิดเป็นมนุษย์ในชาติหน้า ได้บรรลุสัมโพธิญาณ ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้า นามว่า พระโพธิสัตว์ ไม่รวมอยู่ในกลุ่ม พุทธะ เพราะยังไม่บรรลุถึงพระนิพพาน เพราะจะต้องโปรดสัตว์ให้พ้นทุกข์ก่อนจึงจะเสด็จปรินิพพาน พระโพธิสัตว์ประกอบด้วยบารมี ๖ ประการคือ ทาน๑ ศีล๑ ขันติ๑ วิริยะ๑ ปัญญา๑ อุเบกขา๑ พระโพธิสัตว์ทั้งหลายแบ่งได้สามระดับ คือ ระดับสูง ระดับกลางและระดับต่ำ ผลแห่งการปฏิบัติของพระโพธิสัตว์มี สองประการ คือ สุญตาและปรีชาญาณ เต็มเปี่ยมด้วยความกรุณาธิคุณ ภายหลังจากพระพุทธองค์เสด็จปรินิพพานแล้ว การชักชวนให้ผู้คนหันมานับถือยาก ด้วยพวกพราหมณ์หรือฮินดูต่างเข้าใจว่า เมื่อพระพุทธองค์เสด็จดับขันธ์แล้ว ไม่สามารถมาช่วยเหลือพวกเขาได้ ดังนั้นฝ่ายมหายานจึงต้องหาวิธีการที่แยบยลเพื่อให้พระพุทธศาสนาคงอยู่ได้และไม่ขัดกับลัทธิฮินดู ด้วยการหลอมรวมเอาพระพุทธเจ้าเข้าไปเป็นเทพเจ้าองค์หนึ่งของลัทธิฮินดู คือ สร้างพระโพธิสัตว์พุทธเจ้าขึ้นมา เพื่อจะได้ช่วยคนให้ข้ามวัฏสง สารให้หมดเสียก่อน นิกายมหายานถือว่าพระพุทธเจ้า ทรงเป็นโลกุตระหรือผู้อยู่เหนือโลก พ้นจากกิเลสทั้งปวง ทรงมีอานุภาพไม่มีที่สิ้นสุด พระองค์ไม่หลับ ไม่ฝัน ทรงมีสติอยู่ในสมาธิ พระองค์ประกอบด้วยสามกาย คือ ธรรมกาย สัมโภคกายและพิมานกาย จึงได้นับถือพระโพธิสัตว์ขึ้น ด้วยพระโพธิสัตว์ทรงเป็นโลกุตระเช่นเดียวกัน ตามหลักมีว่า พระโพธิสัตว์จุติเป็นมนุษย์สามัญไม่เกิน ๔ ครั้ง เมื่อจุติลงครรภ์มารดามีช้างเผือกเป็นนิมิต ออกจากครรภ์มารดาทางสีข้างเบื้องขวา ไม่มีความรักใคร่ ไม่มีความพยาบาท ไม่มีความเบียดเบียน จะอธิษฐานเกิดเป็นอะไรก็ได้ เพื่อช่วยสัตว์ทั้งหลายให้พ้นทุกข์ ฝ่ายมหายานถือว่า พระพุทธเจ้ามีมากมายหลายองค์ ทั้งอดีต ปัจจุบันและอนาคต โดยถือเอาพระฌานิพุทธหรือธยานิพุทธหรือชินพุทธ ๕ พระองค์ เป็นหลัก คือ พระไวโรจนะ หรือไผลู่หรูไหล 毘盧如來 ทรงประทับอยู่ศูนย์กลาง พระอักโษภยะ หรือ อาส่านหรูไหล 阿閃如來 ทรงประทับอยู่ทางทิศตะวันออก พระรัตนสัมภวะหรือเปาเซิ่งหรูไหล 寳生如來 ทรงประทับอยู่ทางทิศใต้ พระอมิตาภะ หรือ หมีตั๋วหรูไหล 阿彌陀佛 / 阿弥陀佛ทรงประทับอยู่ทางทิศตะวันตก และพระอโมฆสิทธิหรือเฉิงจื้วหรูไหล 成就如來 ทรงประทับอยู่ทางทิศเหนือ เมื่อพระโพธิสัตว์เสด็จลงมาปฏิสนธิในโลกมนุษย์ หรือพระชายาคู่บุญของพระโพธิสัตว์ ล้วนกำเนิดจากอำนาจของพระฌานิพุทธทั้งสิ้น ในสมัยพระภิกษุเสวียนจั้งหรือถังซำจั๋งจาริกไปอินเดีย และพำนักที่มหาวิทยาลัยนาลันทา พระศีลภัทรได้นิมิตฝันว่าได้พบพระโพธิสัตว์สามองค์ คือ องค์ที่ ๑ มีผิวพรรณเหลืองดั่งทองคือพระมัญชุศรีโพธิสัตว์หรือเหวินซูหรือเหวินซูซื่อลี่ผูซ่า文殊 , 文殊師利菩薩 องค์ที่ ๒ ผิวพรรณสุกใสเหลืองแกมเขียวหรือน้ำตาลเทาดั่งแก้วไพฑูรย์คือ พระอวโลกิเตศวรโพธิสัตว์ หรือสมันตภัทร หรือผู่เสียนผูซ่า普賢菩薩 และองค์ที่ ๓ ผิวพรรณขาวดั่งเงินยวง คือ พระเมตรไตรยโพธิสัตว์หรือหมีเล่อผูซ่า 彌勒菩薩 ให้พระศีลภัทรเผยแผ่พระสัทธรรม มีคัมภีร์โยคาจารภูมิศาสตร์เป็นต้น แล้วจะเป็นสุขไม่ต้องทนทุกข์ถึงโรคอีกต่อไป ต่อมาโรคของท่านก็หาย อีกสามปีข้างหน้าจะมีพระภิกษุสงฆ์จากประเทศจีนใคร่จะศึกษาพระปรมัตถธรรมกับท่านขอให้ท่านสอนเขาเถิด และวันนี้ครบสามปี พระเสวียนจั้งก็ได้ปรากฏตามความฝันทุกประการ หมู่พระสงฆ์ที่ร่วมฟังต่างอนุโมทนากันทั่ว หลังจากที่ได้ศึกษาพระธรรมต่างๆปีเศษ ท่านจึงขออนุญาตพระอาจารย์ศีลภัทรเดินทางไปแสวงบุญ ยังที่ต่างๆหลายแคว้นแล้วกลับมายังอารามนาลันทาได้ศึกษากับพระชัยเสน คืนหนึ่งท่านได้นิมิตฝันว่า ได้เดินเข้าไปในหอพระราชาพาลาทิตย์ เห็นบนหอชั้นสี่มีเทพองค์หนึ่งยืนอยู่ ท่านอยากขึ้นไปแต่ปีนขึ้นไม่ได้ จึงขอให้เทพช่วยดึง แต่เทพตอบว่า เราคือมัญชุศรีโพธิสัตว์ ตัวท่านยังไม่หมดเวรกรรม จึงขึ้นมาไม่ได้ แล้วชี้ออกไปข้างนอกให้ดูไฟกำลังลุกไหม้บ้านเรือน เทพกล่าวว่า ท่านควรรีบกลับจากประเทศนี้เสียโดยเร็ว อีก ๑๐ ปีข้างหน้าพระราชาศีลาทิตย์จะสิ้นพระชนม์ ในอินเดียจะเกิดจลาจลฆ่าฟันกันเป็นทุรยุค ท่านจงทราบไว้เถิด ท่านได้เล่าให้พระชัยเสนฟัง พระชัยเสนว่า ในไตรภพนี้ ความสงบย่อมไม่มี เหตุการณ์อาจจะเป็นอย่างที่ฝันก็ได้ แต่เมื่อเกิดนิมิตขึ้นเช่นนี้ ท่านผู้เจริญจงใคร่ครวญดูเองเถิด ต่อมาอีก ๑๐ ปี เมื่อราชทูตจีนไปยังเมืองนี้ได้ประสบพบเห็นสิ่งดังกล่าวทุกประการ ภายหลังพระราชาศีลาทิตย์สิ้นพระชนม์ ด้วยพวกขุนนางผู้ใหญ่คิดกบฏ
*********
|
|
|